เชอร์รี่ (Cherry) เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ลักษณะของมีลักษณะกลม ขนาดเล็ก เปลือกมีทั้งสีแดงเข้ม สีแดง สีส้ม และสีเหลือง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งเชอร์รี่ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเชอร์รี่หวาน และกลุ่มเชอร์รี่หวานอมเปรี้ยว โดยแหล่งที่ที่เพาะปลูกเชอร์รี่มากที่สุดก็คือทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ออสเตรเลียรวมไปถึงญี่ปุ่น เพราะเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น
เชอร์รี่ (Cherry) เป็นผลไม้ที่นิยมซื้อมารับประทานสดๆ หรือจะนำไปคั้นเป็นน้ำเชอร์รี่ก็ได้ หรือจะนำไปทำขนมต่างๆ เช่น แยมเชอร์รี่ พายเชอร์รี่ เชอร์รี่เชื่อม โดยสายพันธุ์เชอร์รี่ที่นิยมนำมารับประทานมากที่สุดก็คือ เชอร์รี่ป่า (Prunus_avium)
- พลังงาน 63 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 16 กรัม
- น้ำ 82.25 กรัม
- น้ำตาล 12.8 กรัม
- เส้นใย 2.1 กรัม
- ไขมัน 0.2 กรัม
- โปรตีน 1.06 กรัม
- วิตามินเอ 3 ไมโครกรัม 0%เชอร์รี่
- เบต้าแคโรทีน 38 ไมโครกรัม 0%
- ลูทีน และ ซีแซนทีน 85 ไมโครกรัม
- วิตามินบี1 0.027 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินบี2 0.033 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินบี3 0.154 มิลลิกรัม 1%
- วิตามินบี5 0.199 มิลลิกรัม 4%
- วิตามินบี6 0.049 มิลลิกรัม 4%
- วิตามินบี9 4 ไมโครกรัม 1%
- โคลีน 6.1 มิลลิกรัม 1%
- วิตามินซี 7 มิลลิกรัม 8%
- วิตามินเค 2.1 ไมโครกรัม 2%
- ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุเหล็ก 0.36 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุแมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุแมงกานีส 0.07 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุโพแทสเซียม 222 มิลลิกรัม 5%
- ธาตุโซเดียม 0 มิลลิกรัม 0%
- ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
- ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการรับประทานยา ทำให้อารมณ์ดีมีความสุข เพราะมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)
- ช่วยลดระดับของไขมันเลว หรือไขมันชนิดร้าย (LDL)
- ยังมีสรรพคุณช่วยระบาย และยังช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาอาการปวด แพทย์ตะวันตกเรียกเชอร์รี่ว่า “แอสไพรินธรรมชาติ” ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด เนื่องมาจากการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมหนักๆ
- ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อ ได้มากถึง 37% หากรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ
- ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน
- ช่วยลดการผลิตเมลานิน จึงมีส่วนช่วยทำให้ผิวคุณขาวขึ้นได้
- การรับประทานเชอร์รี่จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกชดชื่น และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย และความแก่สารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) ในผลเชอร์รี่ช่วยป้องกันเซลล์ดีเอ็นเอถูกทำลายได้
- ประโยชน์เชอรี่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
- สารไลโคพีน (Lycopene) ในผลเชอร์รี่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึงร้อยละ 20 เป็นต้น
สารไลโคปีน (Lycopene) แคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของสีแดง ของมะเขือเทศ และแตงโม ที่มีโครงสร้างโมเลกุล ที่ยาวกว่าแคโรทีนอยด์ชนิดอื่นๆทำให้ ไลโคปีน เป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูล อิสระซึ่งจะช่วยลดความผิดปกติ และความเสื่อม ของเซลล์ อันเนื่องมาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ และไลโคปีน อาจจะลดความรุนแรงของการเผาไหม้ ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์ได้
สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่พบในเชอร์รี่ (Cherry) ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตาและชะลอความเสื่อมของเซลล์ดวงตาและจอประสาทตา ช่วยลดการเสี่ยงจากการเกิดโรคต้อกระจก
เชอร์รี่ (Cherry) เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่ก็มีพิษซ่อนอยู่ในเมล็ดด้วยนั่นก็คือ ไฮโดรเจนไซนาไนด์ โดยเฉพาะเวลาที่เคี้ยว หรือบดผลเล็กๆของเชอร์รี่ เชอร์รี่จะผลิตสารนี้โดยอัตโนมัติ แต่เป็นพิษที่ค่อนข้างอ่อน อย่างมากก็แค่ทำให้มีอาการปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน แต่หากได้รับมากจนเกินไปก็อาจจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต อาจทำให้ไตวายหรือเกิดอาการชักจนเสียชีวิตได้ และสิ่งที่จะระวังอีกเรื่องก็คือ เชอร์รี่ที่เราเห็นอยู่บนขนมเค้กตามท้องตลาด ที่มีสีแดงดูน่ารับประทานส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการย้อมสี การเลือกรับประทานก็ควรดูให้ดีๆ เพราะอาจจะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไตได้